แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ OSIM uMagic แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ OSIM uMagic แสดงบทความทั้งหมด

11.15.2559

ท่าบริหารสะกดอาการปวดคอ บ่า ไหล่





ท่าบริหารลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่

         เรียนเชิญเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายมาเล่นโยคะด้วยท่าบริหารคอและไหล่กัน ด้วย 8 ท่วงท่าง่ายๆ เหล่านี้       

        อุปกรณ์ : เราต้องมีบล็อกสำหรับโยคะ หรือจะใช้หมอนสี่เหลี่ยมแทนก็ได้ (แต่ถ้าคิดจะเล่นโยคะเป็นกิจวัตร แนะนำว่าให้ซื้อ ราคาขั้นต่ำประมาณ 200-500 บาทคะ)



ท่าที่ 1  นำบล็อกมาวางส่วนหลังและศีรษะ จากนั้นค่อยๆ เอนตัวลงตามภาพ ปล่อยแขนลงตามสบาย ท่านี้จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหลัง            


ท่าที่ 2 วางบล็อกในแนวตั้ง กะระยะห่างให้เท่ากับความกว้างของลำตัว นั่งแล้วเอนตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกยันกับบล้อก ท่านี้จะช่วยในการยืดไหล่




ท่าที่ 3 ปรับบล็อกให้ห่างออกไปจนสุดแขน และบล็อกอีกชิ้นหนึ่งในหนุนศีรษะ



ท่าที่ 4 นั่งขัดสมาธิ ยืดหลังตรง นำบล็อกมารองเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นออกแรงดึงศรีษะลงมาที่ไหล่จนเรารู้สึกได้ถึงแรงตึงบริเวณสะบักหลัง




ท่าที่ 5 ท่านี้ช่วยบริเวณไหล่และหน้าอก ซึ่งให้เรานั่งชันเข่าลงบนบล็อก แล้วดึงมือไขว้หลังตามภาพ มันจะเป็นท่าที่ยากและปวดสักหน่อย ซึ่งควรจะค่อยๆ ทำ


ท่าที่ 6 – 8 เป็นท่าบริหารช่วงคอ ไหล่ และสะบักหลัง โดยทำแต่ละท่าค้างไว้ และหายใจช้าๆ
5-7 ครั้ง




 ที่มา:SpokedarkTV.




11.08.2559

ปวดตึงบริเวณคอและไหล่อย่าคิดว่ามันเรื่องเล็กนะคะ



ปวดตึงบริเวณคอและไหล่อย่าคิดว่ามันเรื่องเล็กนะคะ !! 

          ชาวออฟฟิศทั้งหลาย ถ้าคุณนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มานานหลายปีแล้วคงต้องมีอาการปวดคอ ปวดไหล่กันบ้างล่ะ ซึ่งหลายคนก็ใช้วิธีหาครีมมานวดเพื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายหายปวด แต่คุณหมอเขาบอกมาว่า อาการปวดตึง ปวดไหล่ ถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ มีคำถามที่ว่า..

          "นั่งทำงานจนดึก ก่อนนอนรู้สึกปวดตึงที่คอและไหล่มาก ๆ เป็นเพราะอะไร แล้วจะมีความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ อีกรึเปล่าคะ จะมีวิธีหลีกเลี่ยงอาการนี้ได้อย่างไร" 


          ลองมาฟังคำตอบจาก นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย ที่ปรึกษาฝ่ายการแพทย์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กันเลย

          สำหรับกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อออฟฟิศซินโดรม เมื่อก่อนพบมากในกลุ่มคนวัยทำงานทั้งเพศชายและหญิง ช่วงอายุ 20-30 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบในกลุ่มคนช่วงอายุตั้งแต่ 15 ปีเป็นต้นไป ซึ่งได้แก่ กลุ่มนักเรียนและนักศึกษาที่มีพฤติกรรมไม่ค่อยออกกำลังกาย และมีไลฟ์สไตล์แบบเดิมซ้ำ ๆ เช่น อ่านหนังสือ นั่งเรียน หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เฉลี่ย 2-6 ชั่วโมง/วัน 

          หลายคนอาจจะชะล่าใจว่าอาการที่พบเบื้องต้น เช่น การปวดตึงที่คอ บ่าและไหล่ การปวดหลัง หรือปวดศีรษะ เป็นอาการที่ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่อาการเบื้องต้นเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเซ็กส์เสื่อม โรคข้อและกล้ามเนื้ออักเสบ รวมถึงปัญหาด้านฮอร์โมนต่าง ๆ

          อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันและบำบัดอาการออฟฟิศซินโดรมง่าย ๆ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำเดิม ๆ และออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น บริหารคอด้วยการก้มเงยและหมุนคอ ยืดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ ท่าละ 5-10 ครั้ง 10-30 วินาที ประมาณวันละ 2 รอบ เพื่อให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว ไม่เป็นแหล่งบ่มเพาะอาการออฟฟิศซินโดรมต่อไปในอนาคตนะคะ


ขอบคุณที่มา : นิตยสาร LISA.

11.12.2558

5 ผลข้างเคียงร้ายแรงจากสมาร์ทโฟนที่คุณควรทราบ

เมื่อเราพูดถึงสมาร์ทโฟน ต้องยอมรับเลยว่า มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการดำรงค์ชีวิตประจำวันไปซะแล้ว  แต่ความทันสมัยของมันก็ส่งผลเสียต่อร่างกายของเรามากมายนะคะ

1. Text Claw และ Smartphone Elbow









          Text Claw  คืออาการเกร็งข้อนิ้วและเจ็บกล้ามเนื้อจากการพิมพ์ข้อความอย่างต่อเนื่องรวมถึงการเล่นเกมจากสมาร์ทโฟนมากเกินไป  อาการนี้อาจทำให้เกิดเอ็นอักเสบได้
          Smartphone Elbow  คืออาการรู้สึกเสียบแปลบหรือชาตามนิ้วก้อยจนถึงข้อศอกเป็นระยะเวลานาน

           หากคุณใช้สมาร์ทโฟนอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกเจ็บหรือเมื่อยล้า  ลองยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เหยียดเอวไปด้านหลังประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วก้มหน้าลง  จากนั้นคลายกล้ามเนื้อข้อมือ  แต่หากอาการเจ็บมีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์จะดีที่สุด



2. Text Neck












            การก้มหน้ามองมือถือด้วยองศาที่มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำร้ายกล้ามเนื้อคอและหลังมากขึ้นเท่านั้น   “Text Neck”  เป็นเพียงวลีของแพทย์ที่ใช้อธิบายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอ  ผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากการก้มโค้งมากกว่าปกติเพราะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์
            การแก้ไขท่าทางของคุณสามารถบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่างและการจำกัดการใช้โทรศัพท์สามารถบรรเทาความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอ  พยายามมองโทรศัพท์ตรงๆในด้านหน้า  หลีกเลี่ยงที่จะมองก้มต่ำ


3. คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม










          การจ้องมองที่ตัวอักษรเล็กๆในสมาร์ทโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์ สามารถนำไปสู่การปวดตา ตาพร่าวิงเวียนศีรษะ และตาแห้ง รวมถึงมองเห็นภาพซ้อน ปวดกล้ามเนื้อคอและยังสามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวได้อีกด้วย

          หากคุณรู้สึกไม่สบายตา  ลองตั้งค่าขนาดตัวอักษรของโทรศัพท์ใหญ่ขึ้น ในการใช้งานโทรศัพท์ควรพยายามที่จะถือโทรศัพท์ให้ห่างจากใบหน้าอย่างน้อย 16 นิ้ว  และพักสายตาโดยการมองไกลๆจากหน้าจอเป็นช่วงๆ และต้องอย่าลืมกระพริบตาด้วย



4. Nomophobia










          Nomophobia คืออาการหวาดกลัวเมื่อไม่มีโทรศัพท์มือถือ จากการศึกษาคน 1,000 คนในสหราชอาณาจักรพบว่า 66% ของประชากรจะมีอาการวิตกจริตและกังวลเมื่อต้องห่างจากโทรศัพท์ของพวกเขาไม่ว่าเวลาใดก็ตาม หมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีโทรศัพท์อยู่กับตัวตลอดเวลา  และกังวลเกี่ยวกับการทำมันหาย



5. Phantom Pocket Vibration Syndrome










           ผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่มักจะนึกว่าโทรศัพท์ของพวกเขาสั่นแม้ว่าที่จริงมันไม่ได้สั่นก็ตาม  อาการหลอนที่เกิดขึ้นนี้ ขึ้นอยู่กับการติดการได้รับข้อความและการแจ้งเตือนโซเชียลมีเดีย  และมักจะกังวลมากขึ้นเมื่อโทรศัพท์ของพวกเขาไม่ได้สั่นจริงๆ

           วิธีที่ดีที่สุดที่จะตรวจสอบว่าคุณเกิดอาการเสพติดนี้หรือไม่  ลองปิดฟังก์ชั่นการสั่นสะเทือนและมุ่งมั่นที่จะการตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณในช่วงเวลาที่กำหนด  หรือไม่ก็ลองนำโทรศัพท์ไปใส่ไว้ในกระเป๋าถือของคุณแทน  และพยายามที่จะต่อต้านอาการอยากตรวจสอบกระเป๋าของคุณทุกห้านาที


Cr. http://www.wired.com
      http://www.healthydeejung.com


-------------------------------------------------------------------------

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

uMagic เก้าอี้นวดชั้นยอดที่จะทำให้คุณและสมาชิกในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับ
โปรแกรมการนวดล่าสุดจาก OSIM - Magic Hands Massages - 
คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเสมือนว่าถูกนวดจากมือคนจริงๆ

Click - Here - For Information


11.06.2558

9 โรคติดตัวของ "มนุษย์ติดจอ"

สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว แม้ว่ามันจะช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นแต่ก็ต้องรู้จักการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ปลอดภัย การที่เราก้มๆ เงยๆ กับสิ่งเหล่านี้มากๆ สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายมากมาย


1. โรคก้มกด
นำไปสู่อาการปวดคอเรื้อรัง มีอาการปวดบ่าไหล่ไปถึงหลังได้ ซึ่งเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์กระดูกคอที่นิวยอร์กชี้ว่าโรคก้มกด (Text neck) กำลังระบาด เป็นอาการของคนยุคใหม่ที่ก้มคอไปข้างหน้าแต่ละนิ้วแต่ละเซ็นติเมตรมีผลทั้งสิ้น ให้คิดง่ายๆ ว่ายิ่งก้มกดนานก็ยิ่งทำร้ายกระดูกและกล้ามเนื้อที่ละเอียดอ่อนรอบคอ



2. กระดูกคอเสื่อม
การก้มดูหน้าจอนานและบ่อยมีผลให้น้ำหนักกดกระดูกต้นคอทั้ง 7 ชิ้นจนเกิดภาวะเสื่อมก่อนวัยได้เพราะชีวิตที่ต้องก้มกดนานทำให้คอต้องรับน้ำหนักพอๆ กับมีเด็กน้ำหนัก 30 กก.มาขี่คอตลอดเวลา แต่หากไม่นานมาก็ไม่ส่งผล

3. โรคเพลียตา
อาการตาล้ารวมถึงตาแห้งอาจเกิดได้ มีสัญญานคือล้า ปวดรอบกระบอกตา เพลียตาคล้ายตาจะปิด มีอาการนานเข้าทำให้ปวดศีรษะได้ด้วย ขอให้ช่วยพักตาเป็นระยะด้วยการเบรกการใช้หน้าจอบ้าง รวมถึงการติดแผ่นกันแสงสะท้อน (Anti-glare) ถือเป็นการช่วยล้างพิษดิจิตอล (Digital detox) ไปในตัว

4. นอนไม่หลับ
แสงหน้าจอโดยเฉพาะในแสงแถบสีฟ้าที่ท่านอาจมองไม่เห็นแต่มันเป็นแถบสีหนึ่งที่รวมอยู่ในแสงสว่างจากจอที่พุ่งเข้ากระทบตาท่านผ่านไปถึงสมอง จึงไม่ควรใช้บ่อยเกินไปโดยเฉพาะในเวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อน มีการศึกษาเรื่องนี้ในระดับลึกจนพบว่าแสงสว่างมีผลกดการสร้างเคมีนิทราในสมองมีผลทำให้สุขภาพแย่ลง


5. ท้องผูก
เป็นผลทางอ้อมจากความเครียด นั่งนาน ยืนนานจากการจดจ่ออยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ภาวะนี้อาจเกิดได้กับมนุษย์หน้าจอที่ไม่ลุกขยับกายส่วนใดเลยนอกจากมือบนหน้าจอ ทำให้ลำไส้ไม่ขยับจนมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายจนทำให้ท้องผูกได้ ในหลายคนเมื่อถ่ายลำบากบ่อยก็เป็น "ริดสีดวง" เสริมมาด้วย

6. ปวดศีรษะ
เกิดได้จากผลกระทบหลายจุดของหน้าจอ เช่น จากแสงการเพ่งนาน ความเครียดจากการเล่นเกมส์ แชทโต้ตอบหรือเล่นโซเชียลมีเดียอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังอย่าง Journal of Vision มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าแสงสว่างจ้าและการกะพริบไม่นิ่งของแสงกระตุ้นปวดหัวให้หนักขึ้นรวมถึงไมเกรนได้

7. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ท่านที่เอาแต่สนใจหน้าจอจนลืมสนใจอาการปวดตามธรรมชาติ เมื่อกระเพาะปัสสาวะส่งสัญญาณให้เข้าห้องน้ำแต่กลับเลือกที่จะจดจ่ออยู่หน้าจอจนลืมทุกอย่าง เมื่อต้องอั้นบ่อยเข้าก็มีส่วนทำให้เกิดอาการปัสสาวะขัดจนถึงอักเสบได้เหมือนกัน



8. ปวดหลัง
อาการปวดนี้เกิดได้ในท่านที่อยู่กับหน้าจอได้ทั้งแบบที่ก้มกดและนั่งหน้าจอ เพราะอาชีพที่ทำงานจำเป็นต้องอยู่ชิดใกล้กับหน้าจอวันละหลายชั่วโมง ซึ่งท่านั่งนั้นมีส่วนเราจึงควรจัดอิริยาบถให้เหมาะสม





9. อุบัติเหตุ
มือถือและหน้าจอที่สะกดจิตให้เอาแต่ก้มดูจนลืมมองรอบตัว ส่วนที่หูก็มีที่ฟังเสียบอยู่จนไม่ได้ยินสรรพเสียงขณะข้ามถนนหรือขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรืออาจเป็นมฤตยูคร่าชีวิตได้


แม้ว่าเราจะหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ยาก แต่ก็ควรใช้อย่างเหมาะสมและรักษาสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน





Cr: http://www.pptvthailand.com/news/13447



-------------------------------------------------------------------------

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

uMagic เก้าอี้นวดชั้นยอดที่จะทำให้คุณและสมาชิกในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับ
โปรแกรมการนวดล่าสุดจาก OSIM - Magic Hands Massages - 
คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเสมือนว่าถูกนวดจากมือคนจริงๆ

Click - Here - For Information

10.30.2558

สังคมก้มหน้า:ภัยเงียบที่นำมาซึ่งอันตรายต่างๆมากมาย

ปัจจุบันสังคมออนไลน์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ปริมาณการใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากในอดีตที่มีการใช้เพียงเพื่อโทรศัพท์หรือเช็กอีเมล ก็มีการเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานนานมากขึ้น บางคนใช้งานเกือบตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าถึงเข้านอน มิหนำซ้ำยังวางไว้ข้างตัวขณะนอนหลับอีกด้วย จนเกือบเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในร่างกายที่ขาดไม่ได้





การใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับระบบประสาทและกระดูกต้นคอ เมื่อใช้ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาได้ โดยอาการผิดปกติที่พบได้บ่อยในกลุ่มคน "สังคมก้มหน้า" มีมากมายหลายอาการเช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ อีทั้งยังทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ด้วย




การก้มหน้าเป็นระยะเวลานานนั้น ยังส่งผลต่อกระดูกต้นคอ ทำให้กระดูกต้นคอเกิดการรับน้ำหนักมากกว่าปกติถึง 6 เท่า เกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมก่อนวัย อาจถึงขั้นหมอนรองกระดูกปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทได้ การเกิดกระดูกต้นคอเสื่อมนั้นถ้าไปกดทับเส้นประสาทสมองระดับที่ 1-4  อาจเกิดอาการปวดศีรษะที่บริเวณท้ายทอย, ด้านข้างศีรษะ, ขมับ, กระบอกตา, หน้าผาก รวมถึงกลางกระหม่อมได้ ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกโรคนี้ว่า "โรคปวดศีรษะจากความผิดปกติของคอ"




ขณะที่เราใช้งานสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์อยู่ แสงที่ออกมาจากหน้าจอหรือแสงสะท้อนจากหน้าจอยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแบบเฉียบพลันขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เป็นโรคไมเกรนอยู่แล้ว รวมทั้งกล้ามเนื้อที่มีอาการเกร็งปวดบริเวณคอและศีรษะ ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแบบรุนแรงเฉียบพลันได้อีกด้วย






"พฤติกรรมติดสังคมก้มหน้า” สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้หลายชนิด ซึ่งบางชนิดอาจมีความรุนแรงจนถึงขั้นต้องรักษาโดยการผ่าตัด ดังนั้นการใช้งานสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสม จะเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ ส่วนในกรณีที่มีอาการปวดศีรษะจากการใช้งานสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์แล้ว อาจพิจารณาให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการอย่างเหมาะสมต่อไป


Cr.  health.kapook.com/view126202.html


-------------------------------------------------------------------------

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

uMagic เก้าอี้นวดชั้นยอดที่จะทำให้คุณและสมาชิกในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับ
โปรแกรมการนวดล่าสุดจาก OSIM - Magic Hands Massages - 
คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเสมือนว่าถูกนวดจากมือคนจริงๆ

Click - Here - For Information









10.22.2558

5 ท่าบริหารสำหรับบรรเทาการปวดคอและหลัง

"ปัญหาไหล่ห่อคอตก" เป็นปัญหาหลักๆที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือแม้แต่ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานได้เช่นกัน



วันนี้เรามีวิธีบริหารคอและไหล่ง่ายๆมาฝากค่ะ 


ท่าที่ 1 : ยืนตรงยกไหล่ขึ้น-ลง ท่านี้ให้ยืนตรงปล่อยแขนลงข้างตัว สบาย ๆ แล้วให้ยกไหล่ขึ้น-ลง ประมาณ 10 ครั้ง โดยเมื่อยกขึ้นให้ค้างไว้นับ 1-5 แล้วปล่อยลง ก่อนจะยกขึ้นใหม่



ท่าที่ 2 : กางแขน พลิกมือสองข้างไปมา ให้ยืนตรงหลังตรง กางแขนสองข้างออกเหมือนท่าบิน แล้วให้พลิกข้อมือโบกมือสองข้างมาข้างหน้า-ไปข้างหลัง นับลมหายใจให้ได้ 5 ครั้ง



ท่าที่ 3 : ปิรามิด ให้เหยียดขาข้างหนึ่งไปข้างหลัง อ้อมแขนทั้งสองข้างไปจับกันด้านหลัง ก้มตัวลง ขาเหยียดตรง สะโพกต้องเป็นมุม นับลมหายใจเข้าออก 3 ครั้ง แล้วเหยียดตัวขึ้น ทำอีกข้าง



ท่าที่ 4 : ย่อเข่าหลังตรง คล้าย ๆ กำลังเตรียมกระโดดลงสระว่ายน้ำ ให้เหยียดแขนไปข้างหน้าขนานกับพื้น ย่อเข่าลงแต่อย่าให้เกิน 90 องศา และให้หัวเข่ายื่นเลยปลายเท้าออกไป นับ 1-2 เหยียดตัวขึ้นแล้วทำซ้ำ 3 ครั้ง



ท่าที่ 5 : เหยียดลำตัวด้านข้าง ให้ยืนตรงแยกขาเท่ากับความกว้างของไหล่ ยกแขนข้างหนึ่งงอข้อศอกจับด้านข้างศีรษะแล้วผลักให้เอนไปอีกด้านจนรู้สึกว่าลำตัวตึง นับ 1-5 แล้วเปลี่ยนมาทำอีกข้าง



ทั้ง 5 ท่าใช้เวลาวันละ 15 นาทีเท่านั้น นอกจากจะช่วยคลายอาการปวดเมื่อยได้แล้ว ยังช่วยให้คุณมีบุคลิกภาพสวย สง่าขึ้น อาการไหล่ห่อคอตกก็จะหายไป..


Cr.  bedtaledidea.blogspot.com/2015/09/5-15.html


-------------------------------------------------------------------------

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

uMagic เก้าอี้นวดชั้นยอดที่จะทำให้คุณและสมาชิกในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับ
โปรแกรมการนวดล่าสุดจาก OSIM - Magic Hands Massages - 
คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเสมือนว่าถูกนวดจากมือคนจริงๆ

Click - Here - For Information

10.15.2558

อาการปวดต้นคอป้องกันได้ ทำยังไงไปอ่านกันค่ะ




         อาการปวดคอมักเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ โดยอาจเกิดจากการกดทับเส้นประสาทและไขสันหลัง หรือการถูกกดทับนาน ๆ จากท่วงท่าชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง  โดยเฉพาะคนทำงาน ถ้านั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดการปวดคอได้ เช่น คนที่นั่งก้มหน้า หรือเงยคอนาน ๆ





         หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการปวดคอบ่อย ๆ ลองทำตามข้อแนะนำเหล่านี้ดูนะคะ 

         1.  อย่ารีบร้อนลุกจากเตียงนอน หรือเก้าอี้ทันทีทันใด ควรปล่อยให้ไขข้อได้อุ่นเครื่องก่อน

         2.  ควรปรับจอคอมพิวเตอร์ให้ด้านบนของจออยู่ในระดับสายตา หากคุณพิมพ์ระบบสัมผัสได้จะดีเยี่ยม เพราะจะได้ไม่ต้องก้มมองแป้นพิมพ์บ่อย ๆ

         3.  หากคุณคุยโทรศัพท์มือถือควรจะสลับข้างกัน และอย่าใช้วิธีหนีบโทรศัพท์ที่คอเด็ดขาด



         4.  ควรนั่งหลังตรงขณะขับรถ หรือกำลังนั่งทำงาน

         5.   หลีกเลี่ยงการใช้ประเป๋าสะพายที่หนักข้างเดียว ควรใช้เป้หลังแทน

         6.  เวลานอนให้ใช้หมอนรองคอโดยเฉพาะ หรือใช้ผ้าขนหนูพับสอดไว้

         7.  ลองใช้น้ำแข็งมากดนวดบำบัดเวลาปวด หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนก็ได้

         8.  ใช้ท่วงท่าในชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการก้มหรือเงยคอนาน ๆ



          ที่สำคัญ หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้อักเสบหรือยาคลายกล้ามเนื้อ ต้องเลือกยาที่เหมาะสมและระวังฤทธิ์ข้างเคียงของยา และควรปรึกษาแพทย์ด้วยจะดีที่สุดค่ะ




Cr.  http://health.kapook.com/view54351.html
       http://archive.wunjun.com/bkkbroiler/4/150.html


-------------------------------------------------------------------------

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

uMagic เก้าอี้นวดชั้นยอดที่จะทำให้คุณและสมาชิกในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับ
โปรแกรมการนวดล่าสุดจาก OSIM - Magic Hands Massages - 
คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเสมือนว่าถูกนวดจากมือคนจริงๆ

Click - Here - For Information

10.09.2558

ปวดต้นคอไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่าทำเป็นเล่นไปนะคะ

อาการปวดต้นคอเป็นอาการที่พบบ่อย ปวดต้นคออาจะมีสาเหตุจากกล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสม หรืออาจจะมีสาเหตุจากกระดูกคอเสื่อมก็เป็นได้


คอเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีการใช้มากที่สุด ยิ่งการทำงานในยุคปัจจุบัน คนต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ต้องก้มหน้าเงยหน้าอยู่ตลอด จึงเกิดอาการปวดคอ และปวดศีรษะ นอกจากนั้นคอเป็นอวัยวะที่บอบบางเมื่อเทียบกับขนาดสมอง และลำตัว ให้เกิดความชอกช้ำหรือบาดเจ็บได้ง่าย นอกจากนั้นคอก็ยังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทที่รับคำสั่งจากสมอง ไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย อาการเจ็บคอพบได้ไม่บ่อยเท่าอาการปวดหลัง อาการเจ็บคอที่พบบ่อยที่สุดคือ กล้ามเนื้อคอหดเกร็งทำให้เอี้ยวคอหรือเคลื่อนไหวศีรษะไม่ได้




สาเหตุของการปวดคอที่พบบ่อย



1. อิริยาบทหรือท่าที่ผิดสุขลักษณะ ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดถูกใช้งานจนเมื่อยล้าเกินไป เช่นก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถือมากจนเกินไป

2. ความเครียดทางจิตใจซึ่งอาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นการงาน ครอบครัว การพักผ่อนที่ไม่พอเพียง ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง


3. คอเคล็ดหรือยอก เกิดจากการที่กล้ามเนื้อคอต้องทำงานมากเกินไป เนื่องจากคอต้องเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หรือรุนแรงเกินไปทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อถูกยืดมากจนมีการฉีกขาดบางส่วนจนเกิดอาการปวด ตัวอย่างที่ทำให้เกิดคอเคล็ดเช่น การก้มเพื่อมองหาของ

4. ภาวะข้อเสื่อม เนื่องจากกระดูกคอต้องแบกน้ำหนักอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนแก่ ทำให้ข้อเสื่อมตามอายุมีปุ่มกระดูกหรือกระดูกงอกที่ขอบของข้อต่อ ซึ่งอาจจะไปกดทับถูกปลายประสาทที่โผล่ออกมา ภาวะข้อกระดูกเสื่อมอาจจะไม่มีอาการปวดหรือผิดปกติใดๆ แต่อาจจะพบโดยบังเอิญ

5. อาการบาดเจ็บของกระดูกคอซึ่งอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆ ผู้ป่วยมักจะมีอาการบาดเจ็บของร่างกายส่วนอื่นด้วย

6. ข้ออักเสบ โรคข้ออักเสบเรื้อรังบางชนิดอาจจะทำให้กระดูกต้นคออักเสบด้วย




Cr. http://www.siamhealth.net/



-------------------------------------------------------------------------


OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

Click - Here - For Information







10.01.2558

Text Neck : โรคไหล่ห่อ คอตก โรคใหม่ของคนชอบแชท ที่ไม่ควรมองข้าม

 Text Neck โรคใหม่ของคนชอบแชท ! ที่ก้มมองสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ๆ ขอบอกส่งผลต่อร่างกายไม่น้อยเลยล่ะ


          ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เจ้าสมาร์ทโฟนของทุกคนตอนนี้ กลายเป็นเพื่อนรู้ใจที่แทบจะห่างมือไม่ได้เลยล่ะ.. เพราะไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร ตอนตื่น ก่อนนอน หลายคนก็มักจะเช็กโลกออนไลน์แทบจะทุกเวลา ส่วนบางคนก็เป็นขาแชท พิมพ์ส่งข้อความกันแบบเรียลไทม์ จนสมาร์ทโฟนกลายส่วนหนึ่งของร่างกายยังไงยังงั้น !



          สำหรับผลกระทบของการติดสมาร์ทโฟนก็ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่างเช่นกัน โดยล่าสุด (18 สิงหาคม 2557) ทางเว็บไซต์ thumbsup.in.th ก็ได้นำบทความเกี่ยวกับโรคใหม่ล่าสุดที่เป็นผลพวงมาจากการติดสมาร์ทโฟน อย่าง "Text Neck" มาฝากกัน เอ.. โรคนี้มีอาการอย่างไร แล้วส่งผลอย่างไรบ้างนะ ไปดูกันเลยดีกว่า..




คำว่า Text Neck บัญญัติขึ้นมาโดยคุณหมอ Dean Fishman ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาด้วยการจัดกระดูกสันหลัง เป็นคำที่ใช้แทนอาการไหล่ห่อคอตก ซึ่งเกิดจากท่าทางตอนที่เราก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งเราก็มักจะไม่รู้ตัวหรอกว่ามันนานแค่ไหน จนรู้สึกปวดคอหรือเมื่อยไหล่นั่นแหละ เราถึงจะนึกได้ว่าต้องยืดตัวขึ้นมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า

หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับอาการของ Text Neck กันดี ไม่ว่าจะเป็นเมื่อยคอ ปวดหัว ปวดแขนและไหล่ และปวดตามข้อต่อ เหล่านี้คืออาการที่เกิดจากโรค Text Neck ทั้งสิ้น



        ฟังดูไม่ใช่เรื่องซีเรียส หลาย ๆ คนอาจจะตั้งคำถามว่าอาการ Text Neck มันมีพลังทำลายล้างขนาดไหนกันเชียว ทำไมเราจะต้องกลัวมันด้วย คำตอบคือมันจะทำให้ร่างกายของเราเติบโตแบบผิดรูปร่าง เพราะยิ่งเราก้มมาก ก้มนาน เส้นเอ็นที่ยึดไว้ก็จะอ่อนแอ สันหลังด้านบนจะปูดออก เส้นประสาทถูกกดทับ ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดแขนตามมาด้วย ลองดูในรูปประกอบ เปรียบเทียบระหว่างแนวกระดูกสันหลังปกติกับคนที่มีอาการ Text Neck



      ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรให้มือถืออยู่ตรงกับระดับสายตา เพื่อให้กระดูกสันหลังตรง ไหล่ไม่ห่อลงไป พยายามใช้สมาร์ทโฟนเท่าที่จำเป็น ทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อคอและหลัง

        ใครที่อ่านบทความนี้ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็เงยหน้ายืดเส้นยืดสายกันหน่อยนะคะ ไม่งั้น Text Neck ถามหาไม่รู้ด้วย

Cr. health.kapook.com/view96038.html

-------------------------------------------------------------------------

 OSIM uMagic

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

Click - Here - For Information





9.25.2558

กล้วยกับสรรพคุณที่ไม่กล้วยอย่างชื่อ...

          ประโยชน์ของกล้วย ที่สรรพคุณไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ อย่างที่คิด และหากอยากสวยแถมได้สุขภาพดีงานนี้ต้องกินกล้วยจะช่วยได้


          กล้วย เป็นผลไม้ที่ต่างรู้กันดีกว่ามีประโยชน์กับร่างกาย แต่เชื่อไหมคะว่า จริง ๆ แล้วประโยชน์ของกล้วยอาจมากกว่าที่เราเคยรู้กันมา และกล้วยยังช่วยได้ทั้งเรื่องสุขภาพ และความสวยความงามเลยทีเดียว มาดูประโยชน์ที่น่าทึ่งของกล้วยกันดีกว่า





 1. ช่วยรักษาไมเกรนได้
อาการปวดหัวไมเกรนเป็นความทรมานสำหรับผู้ป่วยโรคนี้มาก และหากอาการปวดหัวไมเกรนมาเยือนคุณบ่อย ๆ แนะนำให้กินกล้วยไว้คอยช่วยลดอาการปวดหัวได้เลยค่ะ เนื่องจากกล้วยอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่จะช่วยบรรเทาและป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนได้






2. นอนหลับสบาย แค่กินกล้วย
กล้วยยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโนและทริปโตเฟน สารประกอบสำคัญของการสร้างเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเปรียบเสมือนยาระงับประสาทแบบธรรมชาติ ดังนั้นคนที่นอนหลับยากหรือนอนหลับด้วยความกระสับกระส่ายมาตลอด อยากท้าให้ลองกินกล้วยหลังมื้อเย็นดูสักตั้







3. ช่วยเพิ่มพลังกาย
วิตามินซีมีส่วนสำคัญต่อกระบวนการผลิตพลังงานของร่างกาย และกล้วยเองก็มีวิตามินซีอยู่สูงมาก จึงเป็นคำตอบว่าทำไมกินกล้วยก่อนออกกำลังกายจะช่วยให้อึดมากขึ้น หรือใครรู้สึกอ่อนแรงพอกินกล้วยเข้าไปก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นง่าย ๆ







4. ลดความเครียดก็ได้
เมื่อเรารู้สึกเครียดขึ้นมา ความดันเลือดจะพุ่งขึ้นสูงกว่าปกติ ซึ่งกระบวนการก่อความรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลตรงนี้ โพแทสเซียมที่มีอยู่ในกล้วยจะช่วยบรรเทาให้ความดันเลือดกลับเข้าสู่ภาวะสงบได้ ในทางโภชนาการจึงนับว่ากล้วยเป็นยาระงับประสาทแบบธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง





5. กินกล้วยลดความอ้วนได้ดีขึ้น
กล้วยมีวิตามิน B1 และ B2 คอยช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน อีกทั้งยังมีคาร์โบไฮเดรตชนิดดีต่อร่างกาย มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ดังนั้นเมื่อกล้วยตกเข้าไปในระบบย่อยอาหารจึงดูดซับน้ำ พองตัวและช่วยทำให้ท้องรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น แถมหากกินกล้วยในตอนเช้ายังช่วยลดความอยากของหวาน ๆ ได้อีกด้วย เพราะความหวานของกล้วยจะเข้าไปเติมเต็มอาการอยากของหวานชนิดต่าง ๆ ที่สำคัญความหวานของกล้วยยังปราศจากแคลอรีอีกด้วยนะคะ



6. บำรุงหัวใจ
โพแทสเซียมเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ บำรุงหัวใจให้แข็งแรงไม่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ และอย่างที่บอกสรรพคุณของกล้วยไปในเบื้องต้นว่ากล้วยมีโพแทสเซียมสูงมาก แถมมีโซเดียมน้อย ดังนั้นกล้วยจึงเป็นผลไม้บำรุงหัวใจ และบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือดที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง






7. บำรุงสายตา
วิตามิน A บวกกับเบตา-แคโรทีน และอัลฟา-แคโรทีนที่มีอยู่ในกล้วย จะช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะป้องกันอาการตาพร่ามัว อาการมองเห็นไม่ชัดเจน เพราะกล้วยจะช่วยบำรุงการทำงานของระบบประสาทตานั่นเองค่ะ







8. บำรุงกระดูก
แม้กล้วยจะเป็นผลไม้ที่ไม่มีแคลเซียมเลย แต่ฟรุกโตโอลิโกแซกคาไรด์ (Fructooligosaccharides (FOS)) คาร์โบไฮเดรตที่มีคุณสมบัติเหมือนไฟเบอร์ละลายน้ำได้ตัวนี้ในกล้วย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่าย และส่งเสริมให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่กินได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมไปบำรุงกระดูกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย






 9. แก้เมาค้างได้ชะงัด
จากผลการศึกษาพบว่า ถ้าคุณมีสติพอจะกินกล้วยก่
อนเมาหลับสักนิด อาการปวดหัวเพราะเมาค้างอาจไม่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณเลยก็ได้ เนื่องจากแร่ธาตุและสารอาหารในกล้วยจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ แต่ทั้งนี้หากดื่มหนักจนไม่รู้เรื่อง และตื่นเช้าขึ้นมากับอาการเมาค้างย่างหนัก เคสนี้แนะนำให้ทำสมูธตี้กล้วย ดื่มแก้เมาค้างดีกว่า








10. แก้อาการท้องผูก
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายและลำไส้ ปัญหานี้แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการกินกล้วยเป็นประจำค่ะ เนื่องจากกล้วยมีทั้งโพรไบโอติกส์ที่ช่วยผลิตแบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้ และกำจัดแบคทีเรียตัวร้ายต่อลำไส้ออกไป อีกทั้งในกล้วยยังมีฟรุกโตโอลิโกแซกคาไรด์ (Fructooligosaccharides (FOS)) ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องตัวขึ้นมาก






นอกจากประโยชน์ของกล้วยกับสุขภาพแล้ว ใครอยากสวยมากไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ให้กล้วยช่วยได้นะคะ โดยการนำกล้วยผสมน้ำผึ้งแท้มามาส์กหน้า หรือจะหมักผมด้วยกล้วยก็จะทำให้ผมเงางาม ดูมีน้ำหนักขึ้นด้วย



http://health.kapook.com/view128007.html

-------------------------------------------------------------------------

 OSIM uMagic

OSIM uMagic : World’s 1st Magic Hands Massage Technology

Click - Here - For Information