11.15.2559

ท่าบริหารสะกดอาการปวดคอ บ่า ไหล่





ท่าบริหารลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่

         เรียนเชิญเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายมาเล่นโยคะด้วยท่าบริหารคอและไหล่กัน ด้วย 8 ท่วงท่าง่ายๆ เหล่านี้       

        อุปกรณ์ : เราต้องมีบล็อกสำหรับโยคะ หรือจะใช้หมอนสี่เหลี่ยมแทนก็ได้ (แต่ถ้าคิดจะเล่นโยคะเป็นกิจวัตร แนะนำว่าให้ซื้อ ราคาขั้นต่ำประมาณ 200-500 บาทคะ)



ท่าที่ 1  นำบล็อกมาวางส่วนหลังและศีรษะ จากนั้นค่อยๆ เอนตัวลงตามภาพ ปล่อยแขนลงตามสบาย ท่านี้จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหลัง            


ท่าที่ 2 วางบล็อกในแนวตั้ง กะระยะห่างให้เท่ากับความกว้างของลำตัว นั่งแล้วเอนตัวไปด้านหน้า ใช้ศอกยันกับบล้อก ท่านี้จะช่วยในการยืดไหล่




ท่าที่ 3 ปรับบล็อกให้ห่างออกไปจนสุดแขน และบล็อกอีกชิ้นหนึ่งในหนุนศีรษะ



ท่าที่ 4 นั่งขัดสมาธิ ยืดหลังตรง นำบล็อกมารองเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นออกแรงดึงศรีษะลงมาที่ไหล่จนเรารู้สึกได้ถึงแรงตึงบริเวณสะบักหลัง




ท่าที่ 5 ท่านี้ช่วยบริเวณไหล่และหน้าอก ซึ่งให้เรานั่งชันเข่าลงบนบล็อก แล้วดึงมือไขว้หลังตามภาพ มันจะเป็นท่าที่ยากและปวดสักหน่อย ซึ่งควรจะค่อยๆ ทำ


ท่าที่ 6 – 8 เป็นท่าบริหารช่วงคอ ไหล่ และสะบักหลัง โดยทำแต่ละท่าค้างไว้ และหายใจช้าๆ
5-7 ครั้ง




 ที่มา:SpokedarkTV.




11.08.2559

ปวดตึงบริเวณคอและไหล่อย่าคิดว่ามันเรื่องเล็กนะคะ



ปวดตึงบริเวณคอและไหล่อย่าคิดว่ามันเรื่องเล็กนะคะ !! 

          ชาวออฟฟิศทั้งหลาย ถ้าคุณนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มานานหลายปีแล้วคงต้องมีอาการปวดคอ ปวดไหล่กันบ้างล่ะ ซึ่งหลายคนก็ใช้วิธีหาครีมมานวดเพื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายหายปวด แต่คุณหมอเขาบอกมาว่า อาการปวดตึง ปวดไหล่ ถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ มีคำถามที่ว่า..

          "นั่งทำงานจนดึก ก่อนนอนรู้สึกปวดตึงที่คอและไหล่มาก ๆ เป็นเพราะอะไร แล้วจะมีความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ อีกรึเปล่าคะ จะมีวิธีหลีกเลี่ยงอาการนี้ได้อย่างไร" 


          ลองมาฟังคำตอบจาก นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย ที่ปรึกษาฝ่ายการแพทย์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กันเลย

          สำหรับกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อออฟฟิศซินโดรม เมื่อก่อนพบมากในกลุ่มคนวัยทำงานทั้งเพศชายและหญิง ช่วงอายุ 20-30 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบในกลุ่มคนช่วงอายุตั้งแต่ 15 ปีเป็นต้นไป ซึ่งได้แก่ กลุ่มนักเรียนและนักศึกษาที่มีพฤติกรรมไม่ค่อยออกกำลังกาย และมีไลฟ์สไตล์แบบเดิมซ้ำ ๆ เช่น อ่านหนังสือ นั่งเรียน หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เฉลี่ย 2-6 ชั่วโมง/วัน 

          หลายคนอาจจะชะล่าใจว่าอาการที่พบเบื้องต้น เช่น การปวดตึงที่คอ บ่าและไหล่ การปวดหลัง หรือปวดศีรษะ เป็นอาการที่ไม่ได้ร้ายแรงมาก แต่อาการเบื้องต้นเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเซ็กส์เสื่อม โรคข้อและกล้ามเนื้ออักเสบ รวมถึงปัญหาด้านฮอร์โมนต่าง ๆ

          อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันและบำบัดอาการออฟฟิศซินโดรมง่าย ๆ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำเดิม ๆ และออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น บริหารคอด้วยการก้มเงยและหมุนคอ ยืดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ ท่าละ 5-10 ครั้ง 10-30 วินาที ประมาณวันละ 2 รอบ เพื่อให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว ไม่เป็นแหล่งบ่มเพาะอาการออฟฟิศซินโดรมต่อไปในอนาคตนะคะ


ขอบคุณที่มา : นิตยสาร LISA.

10.10.2559

อาการปวดตามร่างกายเกิดขึ้นเพราะอะไร?



        ทุกวันนี้เราต่างใช้ร่างกายหนัก ทั้งจากการทำงานและกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน บางครั้งทำให้เรามีอาการเจ็บปวดตามจุดต่างๆ ในร่างกายโดยไม่รู้สาเหตุ และปล่อยผ่านไปโดยที่คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่เราอาจคาดไม่ถึง นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝาก โดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้
    


     เจ็บต้นคอจนร้าวแขน หากเจ็บบริเวณนี้ ต้องระวังเส้นประสาทต้นคอ เพราะอาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้น หรือจากการยกของหนักที่ผ่านมาได้ 

     เจ็บแขนร้าวถึงปลายมือ ควรระวังเรื่องเส้นประสาทให้ดี เพราะมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาท หรืออาจเกิดจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอ


     ปวดศีรษะร้าวที่ต้นคอ อาจเป็นเพียงอาการกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลาเครียด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีอาการตาพร่ามัว บวกคลื่นไส้อาเจียนด้วย ต้องระวังอาการด้านสมองเป็นพิเศษ

     ปวดหลังร้าวลงขา อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอว ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ วิธีสังเกตดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหน ให้ดูที่อาการร้าวลงขา

     เจ็บอกจนวิ่งไปแขนซ้าย ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่


     ไอจามแล้วปวดร้าวลงก้นกบ บางคนเวลาไอ จาม หรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปถึงหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นให้ดีๆ 

     เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา ในกลุ่มสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบเป็นพิเศษ ส่วนหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ระวังการติดเชื้อเป็นหลัก

     เจ็บท้องส่วนอื่นๆ จนร้าวทะลุหลัง อาการเจ็บด้านหน้าไปหลังแบบนี้ ถ้าเป็นที่ตับ คือด้านบนขวาให้ระวังเรื่องถุงน้ำดี เพราะนี่เป็นสัญญาณอาการนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับมีไข้สูงให้ระวังตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน


     เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา ถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงอาการก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต บางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ จะรู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะนำให้รีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์

     สุดท้าย เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อน หรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว

      ทั้งนี้ คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บปวดตามร่างกายที่เกิดขึ้น วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด คือ รีบไปพบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนดีกว่า

                                                                                                                                          ที่มา:Sanook.com

10.06.2559

5โรคที่เกิดกับคนใช้คอมพิวเตอร์




     ชาว OSIM THAI เคยถามตัวเองบ้างไหมคะ ว่าในหนึ่งใช้เวลาหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาทั้งหมดกี่ชั่วโมง ?? บางคนเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่เริ่มเข้าออฟฟิศตั้งแต่ 8โมงเช้า จนเวลาเลิกงาน รวมๆแล้วก็ประมาน 7-8 ชั่วโมง เมื่อกลับมาถึงบ้านบางคนก็เอางานกลับมาทำ บางคนก็ใช้คอมพิวเตอร์ในการคลายเครียดท่องอินเตอร์ เล่นเกมส์ลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืน! นับๆ  ดูแล้วบางคนต้องใช้เวลาหน้าจอคอมพิวเตอร์ถึง 10-11 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว! .....แล้วเคยสังเกตตัวเองบ้างไหมคะว่า เวลาที่เรานั่งใช้คอมพิวเตอร์ไปนานๆ เนี่ย เรามักจะมีอาการปวดไหล่ ปวดคอ และปวดหลัง รวมถึงอาการปวดหัวและปวดตาด้วย! นั่นคือผลของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานเกินไปนั่นเอง งั้นเราลองมาทำความรู้จักกับโรคที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานคอมพิวเตอร์และมาหาแนวทางป้องกันไปพร้อมๆ กันดีกว่าคะ

1.โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpel Tunnel Syndrome)


       อาการของโรคนี้คือปวดร้าวบริเวณข้อมือ ฝ่ามือ และนิ้วมือ บางคนอาจมีอาการชา กำมือแน่นๆ ไม่ได้ หยิบจับของแล้วทำร่วงหล่นตลอด สาเหตุของโรคนี้เกิดจากท่าทางการวางมือขณะที่เราจับเมาส์และแป้นคีย์บอร์ดค่ะ ด้วยความเคยชินทำให้สาวๆ หลายคนวางมือในท่า “กระดกข้อมือ” ค้างไว้เวลาใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการข้อมืออักเสบขึ้นได้


วิธีแก้
   ต้องปรับเปลี่ยนท่านั่งและการวางมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกต้อง โดยท่าวางมือที่ถูกต้องขณะใช้คอมพิวเตอร์ก็คือ ต้องวางมือให้ขนานไปกับพื้นโต๊ะ ไม่งอหรือกระดกข้อมือเวลาที่ใช้เม้าส์และแป้นคีย์บอร์ด นอกจากนี้ ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรลุกไปพักบ้างทุกๆ 1 ชั่วโมงเพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถค่ะ
     แต่ถ้าอาการต่างๆ ยังไม่ทุเลาลง แนะนำว่าควรไปปรึกษาคุณหมอดีกว่า เพราะบางคนอาจต้องรักษาด้วยวิธีการกายภาพบำบัดหรือผ่าตัด ทางที่ดีคือควรรีบสังเกตอาการของตัวเอง และไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบไปพบคุณหมอจะดีกว่า

2.อาการปวดหลัง (Back Pain)



        อาการปวดหลังมักเกิดจากการนั่งผิดท่าเป็น เวลานาน รวมถึงท่านั่งที่ไม่สบายเวลาใช้คอมพิวเตอร์ หลายคนชอบนั่งไขว่ห้างเวลาใช้คอมพิวเตอร์ รู้รึเปล่าเอ่ยว่า...ท่านั่งไขว่ห้างเนี่ยทำให้ปวดหลังสุดๆ เลย ถ้าไม่อยากปวดหลัง เราต้องเริ่มกันที่ท่านั่งที่ถูกต้องในการใช้คอมพิวเตอร์...

วิธีแก้
ท่านั่งในการใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง


  • 1.เท้าทั้งสองข้างต้องวางแนบสนิทบนพื้น
  • 2.ไหล่ต้องปล่อยสบาย ไม่ยกไหล่หรือห่อไหล่ขณะใช้คอมพิวเตอร์
  • 3.เวลาใช้คอมพิวเตอร์ต้องไม่ก้มหน้ามากเกินไป ควรอยู่ในระยะ 50-70 องศา
  • 4.ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถและเป็นการพักสายตา
  • 5.หลังต้องแนบชิดกับพนักพิงเก้าอี้ และนั่งให้เต็มก้น ไม่ควรนั่งแค่ครึ่งเดียวหรือหมิ่นเหม่
  • 6.ปรับระดับความสูงของเก้าอี้ให้พอดีกับระดับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ไม่ให้สูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไป

3.โรคเกี่ยวกับสายตา (Computer Vision Syndrome)


เวลาที่เราต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มีใครมีอาการตาพร่าหรือปวดตาบ้างมั้ยคะ?? อาการปวดตาเวลาที่ใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป บางคนอาจมีอาการน้ำตาไหล ปวดศีรษะ และตาแดงร่วมด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่าเราใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป! จริงๆ แล้ว เราควรพักสายอย่างน้อยทุกๆ หนึ่งชั่วโมงด้วยการนั่งหลับตาซักพัก หรือลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาซักสิบนาทีแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การจัดท่านั่งและระยะการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
วิธีแก้  ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรไม่ให้ปวดตา ??
  • 1.ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอดี ไม่จ้าเกินไป
  • 2.ควรนั่งใช้คอมในที่ที่มีแสงสว่างมากพอ บางคนชอบปิดไฟในห้องนอน แล้วเล่นคอมพิวเตอร์ในห้องมืดๆ ทำแบบนี้เสียสายตามากๆ เลย
  • 3.กระพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้มีน้ำมาหล่อเลี้ยงลูกตา ทำให้ไม่เคืองตา
  • 4.อย่าลืมเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เมื่อรู้สึกเคืองตา ปวดตา หรือแสบตา ให้พักสายตาทันที อย่าฝืนทำงานต่อ
  • 5.ตาที่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องห่างจากหน้าจอประมาณ 45-70 เซนติเมตร
  • 6.ปรับขนาดตัวหนังสือบนหน้าจอให้เหมาะสม ไม่เล็กเกินไป เพราะจะทำให้เราต้องเพ่งตามอง และอาจทำให้ปวดตาได้ค่ะ
      ส่วนคนไหนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อย่าลืมพักสายตาบ่อยๆ ถ้ามีอาการปวดตาร่วมกับปวดหัวด้วย ควรไปตรวจวัดสายตา เพราะสายตาอาจจะสั้นขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าตัดแว่นแล้ว พักสายตาก็แล้ว อาการปวดตายังไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและรีบทำการรักษา เรามีดวงตาเพียงแค่คู่เดียว เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลรักษาดวงตาของเราให้ดีที่สุดนะคะ

4.อาการปวดหัว (Headache Problems)



      อาการปวดหัวมักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากความเครียด การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์สว่างมากเกินไป รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นได้ทั้งสิ้น ถ้าเราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เราต้องมีวิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการปวดหัว

วิธีแก้
  • 1.อาการปวดหัวส่วนมากมักเกิดจากปัญหาอาการปวดตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มจากการดูแลดวงตาของเราก่อน อย่าลืมปรับแสงหน้าจอให้สว่างพอเหมาะ อย่าเพ่ง/จ้องหน้าจอนานเกินไป ปรับตัวหนังสือให้มีขนาดพอดี พักสายตาบ้างเมื่อดวงตาอ่อนล้า
  • 2.อย่าอดนอน บางคนต้องทำการบ้านตอนกลางคืน กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เสียแล้ว แบ่งเวลาดีๆ ถ้าได้การบ้านมา ต้องรีบทำ อย่าหมักดองไว้ มิเช่นนั้นต้องมาโหมทำทีเดียวจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนน้า การพักผ่อนไม่เพียงพอก็ทำให้ปวดหัวได้เช่นกัน
  • 3.บางคนเล่นคอมพิวเตอร์จนเพลินไม่ยอมกินข้าวกินปลา นั่งเพลินไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ยอมดื่มน้ำเนี่ย เป็นการทำร้ายร่างกายสุดๆ เลยค่ะ ดีไม่ดีจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแถมมาด้วยนะ
  • 4.ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเหมือนกัน ยิ่งช่วงใกล้สอบทำให้ต้องรีบเคลียร์งาน และการบ้านที่ได้รับมอบหมายมาทั้งเทอมแข่งกับเวลา อาจทำให้เกิดความเครียด รวมถึงสภาวะที่กดดันต่างๆ บวกกับการต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็ทำให้ปวดหัวได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นอย่าลืมแบ่งเวลาดีๆ ค่อยๆ เคลียร์การบ้าน อย่าโหมทำคืนเดียว ไม่งั้นล่ะก็..ร่างกายจะรับไม่ไหว....

5.โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)


   นอกจากปัญหาของความเครียดและอาการปวดหัวแล้ว ปัญหาการนอนไม่หลับจากการใช้คอมพิวเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนเป็นอยู่แต่อาจจะไม่รู้ตัว มีการวิจัยแล้วพบว่าความสว่างของหน้าจอมีผลต่อการนอนไม่หลับด้วย! จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่การใช้คอมพิวเตอร์ แต่รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างๆ อีกด้วย

     เมลาโทนิน (Melatonin) คือฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการนอนหลับและเวลาตื่นของมนุษย์ จากการศึกษาของนักวิจัยพบว่าการที่เราสัมผัสกับแสงของหน้าจอ คอมพิวเตอร์/โทรศัพท์ต่างๆ ทำให้จำนวนของเมลาโทนินลดลง นอกจากนี้การใช้คอมพิวเตอร์ในช่วงกลางคืนยังทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และยังทำให้นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนแปลงด้วยค่ะ นี่คือสาเหตุที่ทำให้เรานอนไม่หลับนั่นเอง!
หลายๆคนอาจ ปิดไฟ เตรียมนอน หยิบโทรศัพท์ แล้วก็จิ้มๆ กดๆ ไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้นอน แถมโดนคุณแม่ดุอีก  รู้หรือไม่ว่าถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนล้า โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงของวัยเรียน จะทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือ รู้สึกเหนื่อยง่าย แถมยังทำให้หน้าตาโทรมด้วยนะ ทางที่ดีคือพยายามอย่าเล่นคอมพิวเตอร์จนถึงเวลาดึกมากๆ และอย่าลืมลิมิตเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเองกันด้วย ถ้านอนไม่หลับจริงๆ ลองหาหนังสือมาอ่าน.....

       การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ สำหรับยุคสมัยนี้ การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันทั้งวัน ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องหาทางดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด อย่าลืมสังเกตอาการไม่สบายต่างๆ ของตัวเองกันด้วยนะ....ที่สำคัญคือต้องลิมิตเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเองโดยเฉพาะ คนที่ยังอยู่ในช่วงของวัยเรียนหนังสือ บางคนติดเกม ติด facebook จนไม่ยอมหลับยอมนอนกันเลยทีเดียว แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ....สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง.... เราต้องรีบดูแลตัวเอง ก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ต้องไปก่อนละน้า....เจอกันใหม่ครั้งหน้า....บ๊ายบายยยย :)





ที่มา : http://www.dek-d.com

และขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล

10.03.2559

ปวดคอแบบไหน..สื่ออันตราย !!


       เนื่องจากในยุคปัจจุบันมนุษย์เรามีพฤติกรรมใช้งานคอและหลังแบบผิดๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมแล้ว อายุที่มากขึ้นก็เป็นสาเหตุของหมอนรองกระดูกเสื่อมเช่นกัน เพราะภาวะนี้เป็นการเสื่อมตามธรรมชาติ เมื่ออายุเกิน 30 ปี โปรตีนที่อยู่ในเจลซึ่งอยู่ข้างในหมอนรองกระดูก รวมถึงวงแหวนรอบนอกจะเริ่มเสื่อม อีกทั้งยังสูญเสียความยืดหยุ่นและคุณสมบัติการรับแรงกระแทก ทำให้เวลาขยับตัว กระแทก หรือใช้งานมากๆ จะทำให้วงแหวนที่อยู่รอบๆ เจลดังกล่าว ซึ่งทำหน้าที่ยึดระหว่างข้อต่อแต่ละข้อเปื่อยยุ่ยและฉีกขาดในที่สุด จนเนื้อของหมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อนไปข้างหลัง เบียดอวัยวะสำคัญที่คอ คือ ไขสันหลังที่ต่อมาจากสมอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย หรือเส้นประสาท ถ้าหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือเคลื่อน จนทำให้ความแข็งแรงในการยึดกันของข้อกระดูกสันหลังลดลง ร่างกายจะพยายามสร้างหินปูน หรือสร้างเนื้อเยื่อโดยรอบข้อต่อให้หนาตัวมากยิ่งขึ้น จะยิ่งทำให้มีการกดทับช่องไขสันหลังมากขึ้น


      
       ซึ่งระยะแรกอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดคอนั้น เป็นอาการปวดทั่วๆ ไป หรือปวดเพราะหมอนรองกระดูกเสื่อม แต่สามารถสังเกตได้โดย ถ้าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อจะมีอาการเมื่อใช้งาน พอได้พักอาการจะดีขึ้น แต่กรณีที่เป็นหมอนรองกระดูกเสื่อม แม้จะพักผ่อนแล้วอาการไม่ค่อยจะดีขึ้น ยังคงปวดต่อเนื่อง



   
   อาการปวดคอแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

      1.กลุ่มที่มีอาการปวดคออย่างเดียว ปวดมาถึงบ่าและสะบัก 
         กลุ่มนี้ถึงแม้จะรักษาค่อนข้างง่าย แต่ก็เป็นอันตรายหรือภัยเงียบด้วยเช่นกัน เพราะผู้ป่วยคิดว่าไม่อันตรายจึงไม่มาพบแพทย์ แต่ความจริงแล้วควรมาพบแพทย์เพื่อแยกว่าเป็น Office Syndrome หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม



       
       2.กลุ่มที่ปวดเพราะมีการกดทับเส้นประสาท 

          มีอาการแสดง คือ ปวดร้าวลงแขนไปจนถึงมือร่วมกับอาการชา รายที่เป็นมากๆ อาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย เช่น ยกไหลไม่ขึ้น ขยับนิ้ว หรือกระดกข้อมือไม่ขึ้น นอกจากนี้ หากมีการกดทับเส้นประสาทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับส่วนใด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นลีบลงด้วย บางครั้งอาจลีบถาวร ถึงแม้จะทำการผ่าตัดแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้เมื่อทำการรักษาโอกาสหายมีมากกว่ากลุ่มที่หมอนรองกระดูกเสื่อมที่ไปกดทับไขสันหลัง 



      3.กลุ่มที่ปวดเพราะมีการกดทับไขสันหลัง 
         กลุ่มนี้จะมีอาการแสดงที่ไม่ชัดเจน ทำให้กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็มักจะเป็นมากแล้ว ผู้ป่วยอาจมีประวัติปวดคอเรื้อรัง ร่วมกับปวดลงแขนหรือลงขา หรือมีอาการชาร่วมด้วย ไปจนถึงมีอาการอ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อบางส่วนเจ็บ กล้ามเนื้อมือลีบ หยิบจับของเล็กๆ หรือใช้มือทำงานที่ละเอียด เช่น กลัดกระดุม ผูกเชือกรองเท้าไม่ถนัด ตลอดจนมีอาการของการเดินเซ สูญเสียการทรงตัวที่ดีไป อาจมีอาการจนถึงขั้นควบคุมระบบการขับถ่ายได้ลำบาก
       


       ในอดีตกลุ่มที่ปวดเพราะมีการกดทับไขสันหลัง จะทำการรักษาค่อนข้างลำบากและมีความเสี่ยงสูง เพราะระยะห่างระหว่างไขสันหลังกับหมอนรองกระดูก หรือหมอนรองกระดูกกับเส้นประสาทห่างกันประมาณ 1 มิลลิเมตร หรือไม่ถึงมิลลิเมตร 
แต่สมัยนี้มีเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย มีการนำเครื่องมือที่ดีมาช่วยในการผ่าตัดให้มีความแม่นยำและมีความปลอดภัยสูงขึ้น โดยใช้กล้องขยายที่เรียกว่า "ไมโครสโคป” (Spine microscope) หลักการเหมือนกล้องจุลทรรศ์ที่นักเรียนใช้ดูจุลินทรีย์ในห้องทดลอง เป็นการส่องอนุภาคเล็กๆ ให้ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้มองเห็นชัดเจน นำมาสู่ความแม่นยำ และปลอดภัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัด ส่วนผลการผ่าตัดถ้าแก้ไขตรงจุดหรือไม่ปล่อยจนอาการเลวร้ายจนเกินไป ผลการผ่าตัดจะดี อาการปวด อาการชาจะหายไป และกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงจะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา.

       สำหรับวิธีป้องกัน และบรรเทาอาการปวดคอนั้น ควรทำกายบริหารโดยพยายามออกกำลังกล้ามเนื้อบริเวณโดยรอบคอให้แข็งแรงขึ้น เนื่องจากในชีวิตประจำวัน คนส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อบริเวณคอเลย สามารถบริหารกล้ามเนื้อคอได้โดยการยืดและการเกร็งกล้ามเนื้อ ดังนี้
       
       1.การยืดกล้ามเนื้อ ก้มให้คางชิดอกค้างไว้ นับ10 วินาที แล้วเงยหน้าขึ้นในทิศทางตรงข้ามค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกันแต่ให้หันหน้าและเอียงศีรษะไปในทิศทางซ้ายและขวา ค้างไว้ข้างละ 10 วินาที เพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อให้มีการเคลื่อนไหว
       
       2.การเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความแข็งแรงและความทนทานให้กล้ามเนื้อคอ ด้วยการเอามือดันศีรษะไว้ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็พยายามเกร็งคอเพื่อต้านแรงดันจากมือที่ดันศีรษะไว้ ให้ทำทุกทิศทางทั้งดันขมับด้านซ้ายและขวา หน้าผาก และท้ายทอย การทำเช่นนี้จะช่วยให้คอได้ออกกำลังกาย 




ที่มา : ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเวชธานี



8.04.2559

ความรักของแม่ พูดเท่าไรก็ไม่จบ



"ความรักของแม่ พูดเท่าไรก็ไม่จบ"

คงไม่แปลกที่แม่จะขี้บ่น คงไม่แปลกที่ลูกจะรำคาญ

เพราะแม่นั้นมีแต่ความรัก ความเป็นห่วงที่มากจนล้น ถึงลูกจะโต ลูกก็ยังเป็นลูก..
ส่วนลูกก็มีแต่ความเป็นเด็ก อยากรู้อยากลองจนมองข้ามความเป็นห่วงของแม่ไป  
แต่แปลกที่ เมื่อลูกยิ่งโต ยิ่งมองคำพร่ำสอนของแม่เป็นเหมือนยุงรำคาญ

วันนี้ OSIM จึงรวบรวมเรื่องราวความรักของแม่ที่มีแต่ลูกมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เผื่อลูกๆจะเข้าใจความรักของแม่มากขึ้นนะคะ 

เรื่องที่ 1
แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่งเป็นที่รำคาญใจของลูกชาย เหลือเกิน 
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา 
จึงไม่รู้ว่า จะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน จึงตัดสินใจแบกเอาไป 
ปล่อยป่าให้อยู่ตามยถากรรม
แม่ไม่ วอนขอ ไม่ถาม ไม่ว่าอะไร ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป เข้าป่าลึก 
ไกลมากแล้ว ลูกชายวางแม่ลง บนโขดหินแล้วหันหลัง 
เดินกลับทางเดิมไป ตอนนี้เอง ที่แม่ตะโกนตามหลัง 
ลูกชายไปว่า 
"ลูกเอ๋ย เดิน 
ตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะ จะได้ไม่หลงทาง..." 


เรื่องที่ 2
  เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่ และส่งกระดาษให้ หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้ว เธอก็ก้มลงอ่าน

                  ค่าตัดหญ้า                                                       ๕.oo  บาท              

              ค่าทำความสะอาด                                              1๑.oo  บาท            
              ค่าซื้อของให้แม่                                                 ๒.๕o  บาท
              ค่าดูแลน้องชาย                                                  ๒.๕o  บาท
              ค่าเอาขยะไปทิ้ง                                                  ๑.oo   บาท
              ค่าได้คะแนนดี                                                   1๕.oo  บาท
              ค่ากวาดสนาม                                                     ๒.oo  บาท
              รวมค้างชำระ                                                               ๑๗.oo บาท


เธอหยิบปากกาขึ้นมา พลิกไปด้านหลังแล้วเขียน

              เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง                                               ไม่คิดเงิน
              เวลาแม่พยาบาลและดูแลลูก                                     ไม่คิดเงิน
              ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตา                                         ไม่คิดเงิน
              ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า พาเที่ยว                                ไม่คิดเงิน
              แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้                                                   ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
              เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก                   ไม่คิดเงินเหมือนกัน

              เมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียนแล้ว น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา เขาสบตาแม่แล้วพูดว่า "แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆนะครับ"  แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตๆว่า

จ่ายหมดแล้ว แม่จ่ายหมดแล้ว แต่ลูกทอนให้ยังไม่หมด       

เรื่องที่ 3
         หลังจากคุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้นว่า "ขอฉันดูหน้าลูกหน่อยนะคะ" เธอก็ได้ห่อผ้าน้อยๆมาอยู่ในอ้อมกอด แต่เมื่อแย้มผ้าออกเพื่อมองไปหน้าเล็กๆ ของทายาท เธอถึงกับกรีดร้องจนพยาบาลต้องรีบอุ้มเด็กออกไปจากอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว และสาเหตุคือที่คุณแม่ร้องลั่นก็เพราะ...เด็กที่เกิดมาไม่มีใบหู

           อย่างไรก็ตามกาลเวลาที่ผันผ่านได้พิสูจน์ว่าเด็กน้อยไม่มีปัญหาด้านการได้ยิน แม้จะไม่มีใบหูให้เห็นภายนอก แต่ถึงอย่างนั้น...ชีวิตของเด็กน้อยก็ยังปวดร้าว หลายครั้งที่เขากลับจากโรงเรียนมาซบอกแม่ทั้งน้ำตา และผู้เป็นมารดาก็รู้ว่าหัวใจลูกปวดร้าวเพียงใด

           เด็กน้อยเคยโพล่งออกมาอย่างเศร้าๆว่า "พวกเด็กโตๆล้อผมว่าไอ้ตัวประหลาด" เด็กชายน้อยเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ มีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดีและดนตรี เขาอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น เป็นประทานกลุ่ม แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้นที่ขาดไป...

           วันหนึ่ง แม่ของเขาบอกด้วยความเห็นใจ "ลูกต้องพบปะผู้คนบ้างนะ" แต่กี่คําปลอบใจก็ดูจะไร้ความหมาย ในที่สุดพ่อของเด็กชายก็ตัดสินใจปึกษาแพทย์ประจําครอบครัวซึ่งแพทย์ช่วยให้พวกเขามีความหวังด้วยการบอกว่า "ผมสามารถผ่าตัดปลูกถ่ายใบหูให้เขาได้ถ้ามีผู้บริจาค หรือ...มีใครเสียสละใบหูเพื่อเขา"

           หลังจากนั้น 2 ปี ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า "เตรียมตัวไปโรงพยาบาลกันนะ พ่อกับแม่หาผู้บริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ"

           หลังการผ่าตัด เสมือนการเกิดใหม่ของชายคนหนึ่ง ซึ่งกลับกลายมาเป็นผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เป็นอัจฉริยะของโรงเรียน ของมหาวิทยาลัย และเป็นที่กล่าวขานต่อๆไปอีกหลายๆรุ่น

           ต่อมา เขาได้แต่งงาน วันหนึ่งเขาตัดสินใจถามพ่อว่า "พ่อครับ ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมใคร ใครเป็นคนมอบสิ่งดีๆในชีวิตผมตั้งมากมาย ผมอยากตอบแทนเขาบ้างครับ"

           พ่อตอบ "อย่าเพิ่งคิดเรื่องตอบแทนเลย ลืมแล้วเหรอว่าเราตกลงกันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ" เรื่องผู้บริจาคจึงเป็นความลับต่อไปอีกหลายปี จนวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่มืดมิดที่สุดในชีวิตผู้เป็นลูก

           เขายืนเศร้าเสียใจอยู่ข้างพ่อ ตรงหน้าศพของแม่ และเมื่อพ่อลูบผมนําตาลแดงของภรรยาให้เสยขึ้น ความจริงจึงเผยว่า...ผู้เป็นมารดาปราศจากใบหู! ใบหูของแม่ถูกตัดไปแล้ว...

          พ่อกระซิบบอกลูกชาย "แม่บอกพ่อว่า ดีใจที่ได้ทําอย่างนี้ แม่ของลูกไม่เคยตัดผมอีกเลยนับจากนั้น แต่ก็ไม่มีใครมองว่าเธอไม่สวย...จริงมั๊ย จงจําไว้นะ สิ่งมีค่าที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพที่เห็นแต่อยู่ตรงสิ่งที่เราสัมผัสได้แม้จะมองไม่เห็นต่างหาก"
           เความรักที่แท้ ไม่ได้หมายความถึงการทําอะไรเพื่อให้ใครต้องรับรู้ หากแต่...คือการกระทําจากหัวใจโดยไม่คาดหวังอะไร หรือ...ไม่จําเป็นต้องมีใครรับรู้ต่างหาก คําพูดพร่ำเพรื่อจึงไม่ใช่สิ่งจําเป็นในเรื่องของความรัก
    

ความรักของแม่มากมายขนาดนี้
 วันแม่ปีนี้อย่าลืมบอกรักคุณแม่ด้วยของขวัญสุดพิเศษจาก OSIM นะคะ 




ดูรายละเอียดสินค้า หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่  http://www.osim.com
ติดตามโปรโมชั่นดีๆ จาก OSIM ได้ที่ https://www.facebook.com/OSIM-Thai